วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

บทความสุขภาพ : โรคมะเร็งใน(ผู้หญิง) ที่ไม่ควรมองข้าม

โรคมะเร็งใน(ผู้หญิง) ที่ไม่ควรมองข้าม


Image result for มะเร็งเต้านมสุขภาพผู้หญิง

      ร่างกายคนเรามักเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็น ผู้หญิง หรือผู้ชาย ในบางครั้งการเปลี่ยนแปลงที่ดูเหมือนปกตินั้นอาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งก็เป็นได้

      สวัสดีครับเพื่อนๆ ที่น่ารักทุกท่าน บทความวันนี้ผมได้หยิบมาให้เพื่อนๆ ได้ลองอ่านกันในวันนี้ คือ "โรคมะเร็งในผู้หญิงที่ไม่ควรมองข้าม" เรามีอาการเหล่านี้หรือไม่ลองมาอ่านไปพร้อมๆ กันเลย

      Dr. Robyn Andersen นายแพทย์แหล่งศูนย์วิจัยมะเร็ง เฟรด ฮัทชินสันในซีแอตเทิล กล่าวว่า "กุญแจสำคัญ คือ การให้ความสนใจกับร่างกายว่ามีอะไรที่ผิดไปจากปกติหรือเปล่า" อาการใหม่ๆ บางอย่างบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย และคุณต้องทราบว่ามันหมายความว่าอะไร?

มีอาการต่างๆ ดังนี้

      1. เต้านมมีการเปลี่ยนแปลง
      ก้อนในเต้านมส่วนมากแล้วจะไม่ใช่มะเร็ง แต่หมอก็จะตรวจเช็คอยู่ดู และคุณก็ควรรู้จักการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ด้วย
  • ผิวหนังเป็นรอยบุ๋ม หรือดึงรั้ง
  • หัวนมบุ๋ม
  • มีสารคัดหลั่งทางหัวนม
  • เกิดรอยแดง หรือหัวนมเปลี่ยนขนาด หรือสีผิวของหน้าอกเปลี่ยนแปลง
      เพื่อหาสาเหตุของอาการ แพทย์ก็จะตรวจร่างกายและถามคำถามเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ นอกจากนี้ยังอาจมีการทดสอบ อย่างเช่น แมมโมแกรม หรือการตรวจชิ้นเนื้อ โดยแพทย์จะตัดเอาเนื้อเยื่อชิ้นเล็กๆ ไปทดสอบ


      2. อาการบวม

      “ผู้หญิงมักจะมีอาการบวมเป็นปกติ รอดูอาการสัก 1-2 สัปดาห์เพื่อดูว่ามันจะหายไปหรือไม่” Dr. Marleen Meyers แพทย์ด้านเนื้องอกวิทยา ที่ศูนย์การแพทย์ NYU Langone กล่าว


      หากอาการไม่ดีขึ้น หรือมันเกิดขึ้นพร้อมกับน้ำหนักลดหรือมีเลือดออก ควรรีบไปพบแพทย์ อาการท้องอืดอยู่เนืองๆ มักจะบ่งชี้ถึงโรคมะเร็งรังไข่ คุณจึงควรตรวจอุ้งเชิงกรานและตรวจเลือดบ่อยๆ และตรวจอัลตราซาวน์ในบางที เพื่อมองหาความผิดปกติที่อาจเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งด้วย Dr. Andersen กล่าว

      3. มีเลือดออกระหว่างมีประจำเดือน
      ถ้าคุณยังมีประจำเดือนอยู่ให้แจ้งแพทย์ให้ทราบว่าคุณพบเลือดออกมาในระหว่างมีรอบเดือน การมีเลือดออกโดยไม่เกี่ยวข้องกับประจำเดือน อาจมีหลายสาเหตุ ซึ่งอาการนี้แพทย์จะตรวจวินิจฉัยว่าคุณเป็นมะเร็งมดลูก (หรือมะเร็งในเยื่อบุโพรงมดลูก) หรือไม่

การมีเลือดออกหลังหมดประจำเดือนเป็นเรื่องไม่ปกติ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คโดยด่วน

      4. ผิวหนังเปลี่ยนแปลง
      การเปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่องของขนาด, รูปทรง, และสีสันของขี้แมลงวัน หรือจุดต่างๆ เป็นสัญญาณของโรคมะเร็งผิวหนังได้ ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจและทดสอบอย่างละเอียด บางครั้งอาจต้องมีการตรวจชิ้นเนื้อด้วย นี่เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรรอคอย D. Meyers กล่าว

      5. มีเลือดออกมาปะปนกับปัสสาวะหรืออุจจาระ
ควรบอกแพทย์ของคุณหากมีเลือดไหลออกจากร่างกายในส่วนที่มันไม่ควรมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการมาแล้วมากกว่า 1 หรือ 2 วัน Dr.Meyers กล่าว

      อุจจาระปนเลือดออกมาบ่อยครั้งบ่งชี้ว่าเป็นอาการของโรคริดสีดวงทวาร แต่ก็อาจเป็นอาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ด้วย ส่วนปัสสาวะปนเลือดบ่อยครั้งเป็นสัญญาณแรกเริ่มของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ หรือมะเร็งที่ไต นายแพทย์ Herbert Lepor ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสาวะ ใน NYU’s Langone กล่าว

      6. การเปลี่ยนแปลงของต่อมน้ำเหลือง
      ต่อมน้ำเหลืองมีขนาดเล็ก ขนาดประมาณเม็ดถั่วกระจายอยู่ทั่วร่างกาย การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อ แต่โรคมะเร็งบางชนิด อย่างเช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ก็อาจทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวมได้เช่นกัน

      ควรเข้าพบแพทย์หากคุณพบว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมที่ใดที่หนึ่งในร่างกาย ที่กินเวลานานเป็นเดือนหรือมากกว่านั้น Dr.Meyers กล่าว

      7. ปัญหาการกลืน
      อาการกลืนลำบากในบางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลนัก แต่หากมันเกิดขึ้นบ่อยๆ และร่วมกับมีอาการอาเจียนและน้ำหนักลดแล้ว ก็ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ แพทย์จะทำการตรวจหาโรคมะเร็งลำคอและมะเร็งกระเพาะอาหารด้วยตรวจเช็คบริเวณลำคอและการกลืนแป้งแบเรี่ยม ซึ่งจะต้องดื่มสารพิเศษทึบแสงที่ช่วยให้มองเห็นลำคอได้ชัดขึ้นในระหว่างเอกซเรย์

      8. น้ำหนักลดโดยไม่ได้พยายาม
      ผู้หญิงส่วนมากอยากให้น้ำหนักลดหายไปเหมือนระเหยไปในอากาศ แต่การสูญเสียน้ำหนักเป็น 10 ปอนด์หรือมากกว่าโดยไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนอาหารหรือออกกำลังกายเลยนั้น อาจเป็นสัญญาณของปัญหาได้

      การสูญเสียน้ำหนักโดยไม่ได้ตั้งใจส่วนใหญ่แล้วอาจไม่ได้เกิดจากโรคมะเร็ง Dr.Meyers กล่าว “มันมักจะเกิดจากความเครียดหรือเกิดจากต่อมไทรอยด์ แต่ก็อาจเป็นสัญญาณของมะเร็งตับอ่อน, มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งปอดก็เป็นไปได้อีกเช่นกัน”

แพทย์จะทำการทดสอบหลายอย่างเพื่อมองหาสาเหตุ รวมไปถึงการตรวจเลือดและ CT Scan ด้วย

      9. อาการแสบร้อนในทรวงอก
      การกินอาหารมากเกินไป, ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป และความเครียด (บางครั้งก็สามอย่างรวมกัน) เป็นต้นเหตุของอาการแสบร้อนในทรวงอกได้ Dr. Meyers แนะนำให้คุณลองเปลี่ยนพฤติกรรมการกินสัก 1-2 สัปดาห์เพื่อลองดูว่าอาการจะดีขึ้นหรือไม่

      แต่หากมันไม่ดีขึ้นเลย ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาการแสบร้อนกลางอกที่ไม่หายขาดหรือเลวร้ายลงอาจหมายถึงมะเร็งกระเพาะอาหาร, มะเร็งลำคอ หรือมะเร็งรังไข่ได้

      10. การเปลี่ยนแปลงภายในช่องปาก
ถ้าคุณสูบบุหรี่ ให้สังเกตฝ้าสีขาวหรือสีแดงอ่อนภายในปาก หรือบนริมฝีปาก ทั้งสองชนิดเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งช่องปาก คุณควรปรึกษาแพทย์หรือทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการทดสอบและรักษาต่อไป

      11. มีไข้
ไข้ที่ไม่ยอมหายและหาสาเหตุไม่ได้อาจหมายถึงโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือมะเร็งเลือดชนิดอื่นๆ แพทย์ของคุณจะตรวจประวัติทางการแพทย์และทำการทดสอบร่างกายเพื่อหาสาเหตุต่อไป

      12. ความเมื่อยล้า
      ผู้หญิงจำนวนมากรู้สึกเมื่อยล้าเพราะชีวิตมีแต่เรื่องวุ่นวาย แต่หากเป็นความเมื่อยล้าที่ไม่ยอมหายไป นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ

      ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเมื่อยยล้าที่เกิดขึ้นหรือคุณมีอาการอื่นๆ ข้างเคียงด้วย อย่างเช่น มีเลือดออกมากับอุจจาระ แพทย์จะสอบถามถึงประวัติการแพทย์ในอดีตและตรวจเลือดเพื่อหาสาเหตุต่อไป

      13. อาการไอ
      การไอส่วนใหญ่แล้วจะหายไปใน 3-4 สัปดาห์ อย่าละเลยหากอาการไอกินเวลานานกว่านั้น ยิ่งโดยเฉพาะถ้าคุณสูบบุหรี่หรือหายใจไม่ออก หากไอออกมาเป็นเลือดให้รีบไปพบแพทย์ การไอแบบนี้ส่วนมากจะเป็นอาการของมะเร็งปอด

      14. อาการปวด
      โรคมะเร็งไม่ก่อให้เกิดอาการปวด แต่อาการปวดที่ต่อเนื่องจะเป็นสัญญาณของมะเร็งกระดูก, มะเร็งสมอง หรือมะเร็งชนิดอื่นๆ ได้ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับอาการปวดที่หาสาเหตุไม่ได้นี้ ยิ่งโดยเฉพาะหากมีอาการมาเป็นเดือนหรือนานกว่านั้น

      15. ปวดท้องและซึมเศร้า
      มันเป็นอาการที่หาได้ยาก แต่หากคุณปวดท้องร่วมกับมีอาการซึมเศร้าด้วยก็อาจเป็นสัญญาณของมะเร็งตับอ่อนได้ แล้วคุณควรกังวลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าในครอบครัวคุณเคยมีคนเป็นมะเร็งตับอ่อนหรือเปล่า ดังนั้นจึงควรเข้าตรวจเช็คอาการนั่นเอง Dr. Meyers กล่าว


****************************
      เพื่อนๆ ทราบหรือไม่ครับว่า "องค์การอนามัยโลก" พบว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของผู้คนทั่วโลกและยังมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ปี โดยสถิติจะพบว่า
  • ในปี 2551 มีอัตราการเสียชีวิตมาถึง 7.6 ล้านคน/ปี
  • ในปี 2555 มีอัตราการเสียชีวิตมาถึง 8.5 ล้านคน/ปี
  • และในปี 2573 (จากการขาดการณ์ไว้คาดว่าจะสูงถึง 13 ล้านคน/ปี
      ดังนั้นอย่ามองข้ามเรื่องเล็กๆ เด็ดขาดเพราะมะเร็งไม่ใช่โรคเล็กๆ ทานยาแล้วก็หาย หากพบว่ามีอาการเหล่านี้ควรรีบปรึกษาแพทย์ก่อนจะสายเกินไป



ขอบคุณที่รับชมบล็อคบทความดีดีนะครับ
คำแนะนำหลังการอ่านจบบล็อค : เมื่อคุณอ่านจบบทความเป็นเวลานานๆ ลองมองไปที่บริเวณที่มีสีเขียว หรือบริเวณต้นไม้ต่างๆ จะช่วยลดอาการเมื่อยล้าดวงตาของคุณได้นะครับ 
ถ้าบทความที่นำมามีประโยชน์ก็ฝากกดไลค์ กดแชร์ เพจด้วยนะครับ จุ๊บๆ คุณผู้อ่านทุกท่านครับ
Page Facebook : Like Page
ขอบคุณบทความดีดีเหล่านี้จาก : health-th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น