วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2563

บทความสุขภาพ : 8 เคล็ดลับดีๆ แฮปปี้ได้ทุกวัน



           มนุษย์เราในปัจจุบันมีการแข่งขันที่สูงมากขึ้น จึงทำให้เรามีความเครียดมากขึ้นความสุขน้อยลง แต่เราก็สามารถควบคุมสิ่งเหล่านั้นได้ เพียงแค่เรามั่นฝึกฝนกับมันเราก็จะความสุขกับชีวิต ได้และแน่นอนละว่า วิชานี้ถ้าฝึกแล้วจะมีค่ายิ่งกว่าได้ทอง จากเคล็ดลับ เทคนิคทางจิตวิทยา และกลไกของร่างกายทางวิทยาศาสตร์ที่ช่วยให้เรามีความสุขได้ มาเริ่มกันเลย..

เทคนิคที่ 1 เรียนรู้ที่จะพูดคำว่า “ขอบคุณ”
          เมื่อเราขอบคุณใครสักคน หรือแม้กระทั่งขอบคุณโชคชะตาสำหรับบางสิ่ง จะทำให้เราโฟกัสในด้านบวกของชีวิตมากขึ้น ความทรงจำที่น่าพอใจนี้จะทำให้มีการผลิตเซโรโทนินในส่วนหน้าของเปลือกสมอง (CINGULATE CORTEX) โดยเทคนิคนี้ก็มักใช้สำหรับการรักษาภาวะซึมเศร้าด้วย

เทคนิคที่ 2 แก้ปัญหาทีละอย่าง
          เมื่อเรากังวลเมื่อไร ก็ต้องตามมาด้วยการค้นหาคำตอบกันใช่มั้ยคะ นั่นแหละเป็นอีกหนึ่งงานหนักของสมอง ที่กินพลังงานจำนวนมากเลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่สมองเหนื่อยและปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข เราจะรู้สึกวิตกกังวลและไม่สบายใจ

          ในทางตรงกันข้ามเมื่อเรามีการตัดสินใจที่ประสบความสำเร็จ สมองของเราจะให้รางวัลตัวเองด้วยสารส่งผ่านประสาท (NEUROTRANSMITTERS) ที่ช่วยให้ระบบลิมบิกสงบลง และช่วยให้เรากลับมามองโลกอย่างสดใสอีกครั้ง ดังนั้นเราจึงควรที่จะพยายามจัดการกับปัญหาทีละอย่างในแต่ละครั้ง

เทคนิคที่ 3 อย่าเก็บปัญหาไว้คนเดียว เขียนระบายมันออกมา
          เมื่อเราพบเจอกับปัญหาที่ทำให้เราไม่สบายใจ ลองใช้วิธีเขียนแทนการพูดดู การเขียนระบายออกมาจะทำให้เราได้ใช้สมองหลายๆส่วน ทำให้อารมณ์ที่ไม่ดีของเราลดลง ดังนั้นอย่าเก็บปัญหาเอาไว้ข้างใน เมื่อไรก็ตามที่เราระบายปัญหาออกมา สมองของเราจะผลิตเซโรโทนินและยังช่วยให้เราเจอด้านดี ๆ ของสถานการณ์อีกด้วย

เทคนิคที่ 4 การสัมผัสและโอบกอด
          สำหรับมนุษย์นั้นการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งเราก็ทำได้หลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการสัมผัสและโอบกอด ซึ่งสามารถช่วยเร่งการฟื้นตัวของเราหลังจากการหายป่วยได้ แต่หากเราไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับใครจากการสัมผัสเลย สมองจะรับรู้ถึงการขาดในรูปแบบเดียวกับที่รับความรู้สึกเจ็บปวดทางกาย ทำให้สมองถูกกระตุ้นในบริเวณเดียวกับเมื่อได้รับความเจ็บปวด มีผลต่ออารมณ์ของเราและยังนำไปสู่การพัฒนาภาวะซึมเศร้าอีก

เทคนิคที่ 5 มาเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอีกครั้ง
          สำหรับสมองนั้น การได้รับความรู้ใหม่ๆ หมายถึง การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป กระบวนการนี้สมองของเราจะถูกพัฒนา และยังมีรางวัลให้กับความพยายามของตัวเองด้วยสิ่งที่เรียกว่า “ฮอร์โมนแห่งความสุข” หรือโดพามีน รู้อย่างนี้แล้วถ้าพี่ ๆ ต้องการที่จะมีความสุขอย่ากลัวที่จะลองอะไรใหม่ ๆ ลองเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ดูกันครับ

เทคนิคที่ 6 เล่นกีฬา
          การออกกำลังกายไม่เพียงแต่ดีต่อสุขภาพ ยังส่งผลที่ยิ่งใหญ่ต่ออารมณ์ของเราด้วย สังเกตได้ว่าเราจะอารมณ์ดีขึ้นหลังได้ออกเหงื่อ นั่นเป็นเพราะรางวัลที่ได้จากการออกกำลังกาย คือสารเอ็นโดฟินส์ที่ถูกปล่อยออกมาจากต่อมใต้สมอง มีผลคล้ายกับยาที่ประกอบด้วยฝิ่น (เช่น มอร์ฟีน) ช่วยลดอาการปวดและทำให้อารมณ์ดีขึ้น แต่ก็อาจไม่ถึงขั้นต้องวิ่งมาราธอนเพื่อที่จะได้ผลนี้ แค่การเดินธรรมดา ๆ ก็ทำให้เกิดผลดี ๆ ได้แล้วล่ะ การันตีเคล็ดไม่ลับนี้จากนักเขียนและนักแต่งเพลงหลาย ๆ คน ก็บอกว่าการเดินเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการความคิดสร้างสรรค์ของพวกเค้าอีกด้วย

เทคนิคที่ 7 นอนหลับให้เพียงพอ
          ในขณะที่เรานอนหลับอยู่ในความมืดนั้นร่างกายของเราจะหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน ฮอร์โมนนี้ทำให้ทุกระบบในร่างกายทำงานช้าลง ช่วยในการซ่อมแซมร่างกายและเพิ่มระดับของเซราโทนินในสมองส่วนไฮโปทาลามัส ซึ่งหากสมองตรวจพบการเปลี่ยนแปลงของแสงจะทำให้สมองปล่อยฮอร์โมนความเครียดเพื่อกระตุ้นร่างกายให้ตื่นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องนอนหลับ 6-8 ชั่วโมงต่อวันและโดยเฉพาะในห้องที่มืดเพียงพอ

เทคนิคที่ 8 ความสุขจากการคาดหวัง
          เคยมีความสุขกับการรออะไรสักอย่างที่ชอบ ต้องการ หรือน่าตื่นเต้นมั้ยคะ เช่น รอที่จะได้รับประทานอาหารอร่อยๆ นี่ก็เป็นอีกกระบวนการที่สมองของเราจะได้สัมผัสกับความสุขเมื่อเราคาดหวังสิ่งที่จะได้มาตอบแทน เป็นเหตุผลที่เราชอบนับเวลาแล้วตั้งตารอช่วงพิเศษบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นวันเกิดหรืองานแต่งงาน การพบปะกับเพื่อน หรือเพียงแค่สิ้นสุดวันทำงานอันยาวนาน


          เป็นอย่างไรบ้างครับในสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ปัญหาต่างๆ มากมายแน่นอนละครับ ความเครียดมากมายจนหาความสุขไม่ได้ ก็อย่าลืมนำวิธีเหล่านี้ไปลองปรับใช้กันดูครับ เพจบทความดีดีก็ขอเป็นกำลังใจให้ก้าวผ่านอุปสรรค์ไปด้วยกันครับ


ขอบคุณที่รับชมบล็อคบทความดีดีนะครับ
คำแนะนำหลังการอ่านจบบล็อค : เมื่อคุณอ่านจบบทความเป็นเวลานานๆ ลองมองไปที่บริเวณที่มีสีเขียว หรือบริเวณต้นไม้ต่างๆ จะช่วยลดอาการเมื่อยล้าดวงตาของคุณได้นะครับ 
ถ้าบทความที่นำมามีประโยชน์ก็ฝากกดไลค์ กดแชร์ เพจด้วยนะครับ จุ๊บๆ คุณผู้อ่านทุกท่านครับ
Page Facebook : Like Page
ขอบคุณบทความดีดีเหล่านี้จาก : สสส

วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2563

บทความข่าวสุขภาพ : ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ภัยสุขภาพที่นักเดินทางต้องรู้จัก

บทความข่าวสุขภาพ : ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ภัยสุขภาพที่นักเดินทางต้องรู้จัก



        กรมควบคุมโรคห่วงนักเดินทาง แนะ 6 วิธีป้องกันตนเองจากโรคปอดอักเสบ หรือโรคติดต่อทางเดินหายใจจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เมื่อไปเยือนต่างประเทศ ขณะที่ WHO เตือนไทย พร้อมย้ำไร้ยารักษา

        โรคปอดอักเสบ ( Pneumonia) เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ พบได้ทั้งการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา ทำให้เกิดการอักเสบของถุงลมปอด และเนื้อเยื่อโดยรอบ มีอาการสำคัญ ได้แก่ มีไข้ ไอ หายใจเหนื่อยหอบ

     สำหรับมาตรการเฝ้าระวังคัดกรองและป้องกันควบคุมโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนา ของกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค มีทั้งการคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ขอความร่วมมือให้โรงพยาบาลทำการคัดกรองผู้ป่วยที่มีอาการไข้ ร่วมกับมีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ และมีประวัติการเดินทางไปเมืองอู่ฮั่น รวมทั้งการเฝ้าระวังในชุมชน

วิธีป้องกันตนเองของนักเดินทาง
     เนื่องจากองค์การอนามัยโลกไม่มีประกาศจำกัดการเดินทางไปยังพื้นที่ดังกล่าว แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้
  1.  ระหว่างเดินทางในต่างประเทศ ขอให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด หรือสถานที่ที่มีมลภาวะเป็นพิษ และไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไอ จาม หากเลี่ยงไม่ได้ให้สวมใส่หน้ากากอนามัยป้องกัน
  2. หลีกเลี่ยงการเข้าไปตลาดค้าสัตว์มีชีวิต การสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่ป่วย หรือตาย และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรวมถึงเนื้อสัตว์ที่ไม่สุก
  3. หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำ และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น
  4. ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น (เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว) เนื่องจากเชื้อก่อโรคทางระบบทางเดินหายใจสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
  5. รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  6. หลังเดินทางกลับถึงประเทศไทย ภายใน 14 วัน ถ้ามีอาการไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ให้สวมหน้ากากอนามัย และรีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนปอดบวม และมีอาการรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตได้
องค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนไทยรับมือไวรัสโคโรนาจากจีน
     องค์การอนามัยโลก เตือนเชื้อไวรัสโคโรนาจากจีนอาจมีการแพร่เชื้อระหว่างมนุษย์สู่มนุษย์ และอาจจะมีการแพร่ระบาดในขอบเขตที่กว้างขึ้น แนะประเทศไทยเฝ้าระวังคัดกรองเข้มข้นนักท่องเที่ยวจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ โดยเฉพาะที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ซึ่งมีอาการไข้และอาการไอ พร้อมทั้งได้เตือนโรงพยาบาลทั่วโลกให้ทำการป้องกันการติดเชื้อดังกล่าว และทำการควบคุม หากพบการระบาดของไวรัส โดยที่ WHO ยอมรับว่าขณะนี้ยังไม่มียารักษาการติดเชื้อไวรัสโคโรนา นายริชาร์ด โบรว์ ผู้แทน WHO ประจำประเทศไทย เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาจากจีน ขณะที่ใกล้ถึงวันที่ 25 ม.ค. ซึ่งเป็นเทศกาลตรุษจีน และจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากจากจีนเดินทางเข้ามายังประเทศไทย โดยให้ทำการคัดกรองนักท่องเที่ยวซึ่งเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ซึ่งมีไข้และอาการไอ

     ขณะนี้มีรายงานล่าสุดว่า มีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาจำนวน 41 รายในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งรวมถึงผู้ป่วยรายหนึ่งที่เสียชีวิต ทั้งนี้ วงการแพทย์ได้ค้นพบเชื้อไวรัสโคโรนาในมนุษย์จำนวน 6 สายพันธุ์ มี 4 สายพันธุ์ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจในระดับปานกลาง ส่วนอีก 2 สายพันธุ์สามารถก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือ SARS และโรค MERS

ขอบคุณที่รับชมบล็อคบทความดีดีนะครับ
คำแนะนำหลังการอ่านจบบล็อค : เมื่อคุณอ่านจบบทความเป็นเวลานานๆ ลองมองไปที่บริเวณที่มีสีเขียว หรือบริเวณต้นไม้ต่างๆ จะช่วยลดอาการเมื่อยล้าดวงตาของคุณได้นะครับ 
ถ้าบทความที่นำมามีประโยชน์ก็ฝากกดไลค์ กดแชร์ เพจด้วยนะครับ จุ๊บๆ คุณผู้อ่านทุกท่านครับ
Page Facebook : Like Page
ขอบคุณบทความดีดีเหล่านี้จาก : Post today

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

บทความสุขภาพ : 38 วิธีแก้ปวดท้องประจําเดือน

บทความสุขภาพ : 38 วิธีแก้ปวดท้องประจําเดือน


         สวัสดีผู้อ่านทุกท่านครับ สาวๆ ทั้งหลายคงต้องเคยพบเจอกับความทุกข์ทรมานเมื่อวันนั้นของเดือนมาถึง บางคนต้องลาป่วยเพราะปวดประจำเดือนจนตัวงอเป็นกุ้ง ลุกจากเตียงแทบไม่ได้ หรือไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เป็นปกติ ซึ่งอาการปวดประจำเดือนเหล่านี้ผู้หญิงมักเข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมดา แค่รับประทานยาแก้ปวดเดี๋ยวก็หาย แต่ความจริงแล้วอาการปวดประจำเดือนในบางกรณีอาจไม่ใช่เรื่องปกติและอาจนำมาซึ่งโรคร้ายแรงก็เป็นได้ 
         จากการศึกษาพบว่าายุเฉลี่ยของการมีประจำเดือนครั้งแรกของเด็กผู้หญิงไทยจะอยู่ที่ประมาณ 12 ปี 7 เดือน เด็กผู้หญิงทางภาคเหนือจะมีอายุเฉลี่ยของการมีประจำเดือนเร็วกว่าภาคอื่น ๆ ส่วนเด็กทางภาคใต้จะมีอายุเฉลี่ยของการมีประจำเดือนช้ากว่าภาคอื่น ๆ โดยช่วง 1-2 ปีแรกที่เริ่มมีประจำเดือน จะมาแบบไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากการทำงานของรังไข่ยังไม่ค่อยสมบูรณ์ จึงทำให้ไข่ตกไม่สม่ำเสมอ

สาเหตุการปวดท้องประจําเดือน สาเหตุแบ่งออกเป็น 2 สาเหตุใหญ่ๆ ได้แก่
         1. ปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิ (Primary dysmenorrhea) เป็นการปวดประจำเดือนที่แพทย์ตรวจไม่พบพยาธิสภาพในอุ้งเชิงกรานหรือท้องน้อยที่ชัดเจน โดยจะไม่มีความผิดปกติของมดลูกและรังไข่แต่อย่างใด ในปัจจุบันเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระหว่างการมีประจำเดือน และมาจากการมีสารพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandins) หลั่งออกมาจากเยื่อบุโพรงมดลูกมากผิดปกติ และสารชนิดนี้จะดูดซึมผ่านกระแสเลือดและมาออกฤทธิ์ที่มดลูก จึงทำให้มดลูกมีการบีบเกร็งตัวและเกิดอาการปวดที่บริเวณท้องน้อย การปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมินี้มักพบได้ในเด็กสาวหรือผู้หญิงวัยรุ่น ส่วนมากจะเริ่มมีอาการตั้งแต่เริ่มมีประจำเดือนครั้งแรก หรือไม่ก็เกิดขึ้นภายในช่วง 2-3 ปีหลังจากการมีประจำเดือนครั้งแรก โดยจะมีอาการมากที่สุดในช่วงอายุ 15-25 ปี หลังจากวัยนี้ไปอาการจะค่อย ๆ ลดลง บางรายอาจหายปวดหลังแต่งงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการมีลูกแล้ว มีเพียงส่วนน้อยที่ยังอาจมีอาการตลอดไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน

         2ปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ (Secondary dysmenorrhea) เป็นการปวดประจำเดือนที่แพทย์ตรวจพบพยาธิสภาพในอุ้งเชิงกรานร่วมด้วย ลักษณะการปวดจะมีอาการปวดก่อนมีเลือดประจำเดือนมาและยังปวดต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าประจำเดือนจะหยุดหรือหลังประจำเดือนหยุด ผู้ป่วยจะมีอาการปวดครั้งแรกเมื่อมีอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป โดยก่อนหน้านี้จะไม่เคยมีอาการปวดประจำเดือนเลย การปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมินี้ มักเกิดจากความผิดปกติของมดลูกหรือรังไข่ เช่น
  • การมีเนื้องอกมดลูก โดยเฉพาะในโพรงมดลูก มดลูกจึงมีการบีบตัวเพื่อขจัดสิ่งขัดขวางการหดรัดตัวในโพรงมดลูกออก จึงทำให้มีอาการปวดประจำเดือนมากขึ้นเรื่อย ๆ
  • เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญขึ้นผิดที่ หรือ เยื่อบุโพรงมดลูกต่างที่ (Endometriosis) โดยเยื่อโพรงบุมดลูกจะหลุดออกมาจากท่อรังไข่ย้อนเข้ามาเจริญที่เยื่อบุช่องท้อง รังไข่ บริเวณอุ้งเชิงกราน หรือลำไส้ ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะมีการตอบสนองต่อฮอร์โมนในร่างกายที่หลั่งออกมาจากรังไข่เช่นเดียวกับเยื่อบุโพรงมดลูก ดังนั้นในขณะที่มีประจำเดือนจะทำให้มีเลือดออกในช่องท้องด้วย จึงทำให้เกิดการระคายเคืองที่เยื่อบุช่องท้อง ส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องในขณะที่มีประจำเดือน ซึ่งในรายที่มีอาการปวดประจำเดือนรุนแรงเป็นประจำ มักมาจากสาเหตุนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่มีบุตรยาก
  • การมีพังผืดในช่องท้อง (Pelvic adhesion) พังผืดเกิดจากการผ่าตัดครั้งก่อน หรือจากการที่เคยมีการอักเสบในอุ้งเชิงกรานมาก่อน (ที่ไม่ใช่จากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญขึ้นผิดที่) จะทำให้เกิดการดึงรั้งของพังผืดกับเยื่อบุช่องท้องหรือเส้นประสาท ส่งผลให้เกิดอาการปวดขึ้นมา ส่วนมากผู้ป่วยมักมีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรังมากกว่าที่จะปวดตามรอบของประจำเดือน
  • การใส่ห่วงอนามัย หรือ ห่วงคุมกำเนิด (Intrauterine device birth control) จะทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือนได้เช่นกัน เนื่องจากร่างกายพยายามบีบตัวเพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมนั้นออกไป
  • สาเหตุอื่น ๆ เช่น มดลูกย้อยไปด้านหลังมาก, ปีกมดลูกอักเสบเรื้อรัง เป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ปวดประจำเดือน
        - การมีประจำเดือนเร็ว มีประจำเดือนครั้งแรกเมื่ออายุน้อยกว่า 12 ปี

         - การไม่มีบุตร ทำให้รังไข่ต้องทำงานตลอดเวลาและมีรอบประจำเดือนมากกว่าคนที่มีลูก ซึ่งจะได้หยุดพักการมีประจำ               เดือนไปในช่วงตั้งครรภ์ไปจนถึงหลังคลอดอีกสักระยะหนึ่ง

         - ประจำเดือนมามากและนาน

         - การใส่ห่วงอนามัย

         - การสูบบุหรี่

         - ความอ้วน
         - การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์)
         - การมีเนื้องอกมดลูก

วิธีแก้ปวดประจำเดือน

        การดูแลตนเองในเบื้องต้นเมื่อมีอาการปวดประจำเดือน โดยไม่ต้องพึ่งยาเพื่อช่วยลดอาการปวดหรือลดความทรมานสามารถทำได้โดยการ
        1. การประคบอุ่นที่ท้องน้อยด้วยกระเป๋าน้ำร้อน เพราะความร้อนจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อที่ตึงอยู่ผ่อนคลายลงและช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลงได้ เมื่อมีอาการปวดจึงแนะนำให้ใช้กระเป๋าน้ำร้อนมาประคบวางไว้บนท้องน้อยทิ้งไว้สักครู่ (ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นควรใช้กระเป๋าน้ำร้อน 2 ใบ เพื่อใช้สำหรับประคบที่หน้าท้องและประคบที่บริเวณหลังส่วนล่าง และที่สำคัญการใช้กระเป๋าน้ำร้อนหรือแผ่นความร้อนอื่น ๆ ก็ควรใช้อย่างระมัดระวังด้วย เพราะอาจทำให้โดนลวกได้)

        2. การอาบน้ำอุ่น การแช่น้ำอุ่นในอ่างเป็นการรักษาด้วยความร้อนอีกวิธีที่สามารถช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ โดยเชื่อว่าการแช่น้ำอุ่นจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ จึงทำให้อาการเจ็บปวดลดลง คุณอาจใส่ดีเกลือสัก 1-2 ถ้วยลงในอ่าง (เกลือชนิดนี้จะมีแมกนีเซียมสูง ซึ่งการขาดแมกนีเซียมอาจเป็นสาเหตุของการปวดประจำเดือน) แล้วแช่ตัวในอ่างอย่างน้อย 30 นาที หรือใส่เกลือสมุทร 1 ถ้วย และผงฟูอีก 1 ถ้วยลงในอ่าง ซึ่งส่วนผสมดังกล่าวจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายได้ดีขึ้น แล้วให้แช่ตัวในอ่างอย่างน้อย 30 นาทีเช่นกัน (ถ้าไม่มีอ่างอาบน้ำ การอาบน้ำอุ่นจากฝักบัวก็ช่วยผ่อนคลายความเจ็บปวดได้เหมือนกัน)

        3. ยกขาข้างหนึ่งหรือสองข้างให้อยู่สูงกว่าลำตัวด้วยหมอน เพราะท่านี้จะเป็นการบังคับให้กล้ามเนื้อมดลูกคลายตัวลงได้ และถ้าจะให้ได้ผลดีควรใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบที่หน้าท้องร่วมกันไปด้วย
        4. การนอนขดตัว เป็นท่าที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อท้อง จึงช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดประจำเดือนลงได้ แต่มีคำแนะนำว่าไม่ควรนอนขดตัวเป็นเวลานาน คุณต้องลุกเดินไปเดินมาบ้าง แค่นิด ๆ หน่อย ๆ และอย่าออกกำลังมากเกินไปในขณะที่มีอาการปวด นอกจากนี้การกำหนดลมหายใจเข้าออกยังสามารถช่วยลดความเจ็บปวดลงได้เช่นกัน (หายใจเข้าช้า ๆ ทางจมูก และค่อย ๆ หายใจออกทางปาก)
        5. นอนตะแคงไปทางด้านซ้าย เพราะจะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนและอาการปวดอื่น ๆ บริเวณหน้าท้องได้ดีกว่าการนอนตะแคงขวา

        6. การนวดหน้าท้อง เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการท้องได้ โดยให้นวดเป็นวงกลมอย่างแผ่วเบาและออกแรงกดเบา ๆ ที่บริเวณท้องสัก 10 วินาทีต่อครั้ง ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณท้องผ่อนคลาย จึงเป็นการช่วยผ่อนคลายความเจ็บปวดและความตึงเครียดลงได้

        7. การฝังเข็ม เนื่องจากการฝังเข็มจะมีฤทธิ์ปรับการทำงานของฮอร์โมนเพศภายในร่างกายให้กลับสู่สภาพสมดุล ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในบริเวณอุ้งเชิงกราน ซึ่งมีมดลูกและรังไข่อยู่ภายในให้ไหลเวียนดีขึ้น ลดการคั่งของเลือด และทำให้กล้ามเนื้อผนังมดลูกและรังไข่คลายตัว จึงช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ โดยแพทย์จะใช้เข็มเล็ก ๆ ปักกระตุ้นตรงจุดรับสัญญาณประสาทบริเวณแขนขาและท้องน้อย เพื่อกระตุ้นประมาณ 30 นาที โดยทั่วไปจะทำการรักษาในช่วงก่อนการมีประจำเดือนประมาณ 2 สัปดาห์ และกระตุ้นสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อยับยั้งมิให้เกิดอาการปวดหรือบรรเทาอาการไม่ให้รุนแรง

        8. การเล่นโยคะ เนื่องจากการเล่นโยคะจะช่วยยืดกล้ามเนื้อตามการบริหารในส่วนที่มีอาการปวด เมื่อเกิดความยืดหยุ่นจึงทำให้อาการปวดท้องลดลง โดยท่าโยคะที่แนะนำมี 3 ท่าหลัก ๆ คือ ท่าเด็ก Balasana (Child's Pose) เป็นท่าระดับง่าย, ท่าธนู Dhanurasana (Bow Pose) เป็นท่าระดับปานกลาง, และท่าอูฐ Ustrasana (Camel Pose) ซึ่งเป็นท่าระดับยาก (ส่วนวิธีการเล่นของแต่ละท่า แนะนำว่าเอาชื่อไปค้นใน Youtube ได้เลยครับ เพราะจะละเอียดและเข้าใจได้ง่ายกว่าอธิบายเป็นคำพูด)

        9. การเดินไปมา เป็นวิธีบรรเทาอาการเจ็บปวดที่ง่ายและได้ผลดีสำหรับอาการปวดประจำเดือน เพื่อให้ผลที่ดีที่สุด ให้เดินเร็ว ๆ สัก 30 วินาที อย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง เพราะการเดินจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเบต้า-เอนดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารระงับความเจ็บปวดออกมา
        10. หมั่นออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลายความเครียด เช่น การวิ่งจ๊อกกิ้ง, ขี่จักรยาน, ว่ายน้ำ, เต้นรำ, การเล่นกีฬาที่ต้องวิ่ง (เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล), ซิตอัพ เป็นต้น เนื่องจากความเครียดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีอาการปวดประจำเดือนมากขึ้น ซึ่งการออกกำลังกายนี่จะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขออกมา

        11. ดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อช่วยให้ตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหน้าที่อย่างหนึ่งของตับคือช่วยรักษาความสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจน การดื่มน้ำจึงช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนลงได้
        12. รับประทานผักและผลไม้ให้มาก ๆ ฮอร์โมนส่วนเกินของร่างกาย (ที่ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล) สามารถขจัดได้ผ่านลำไส้ ซึ่งการรับประทานผักผลไม้ที่มีไฟเบอร์มาก ๆ จะส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย ช่วยทำให้ฮอร์โมนส่วนเกินถูกกำจัดออกไปได้ง่ายขึ้น

        13 รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม เช่น ผักใบสีเขียวเข้ม (เช่น ผักโขม ผักปวยเล้ง), อาหารจำพวกปลาและหอย, กล้วย, มะเดื่อฝรั่ง, ธัญพืชไม่ผ่านการขัดสี, ถั่วอัลมอนด์, เต้าหู้สด, ถั่วอัลมอนด์, ถั่วต้ม, ถั่วลิสง, มะม่วงหิมพานต์ ฯลฯ เพราะแมกนีเซียมสามารถช่วยลดสารพรอสตาแกลนดินที่ถูกหลั่งออกมาในช่วงมีประจำเดือนได้ จึงมีผลช่วยลดอาการปวดประจำเดือน นอกจากนี้แมกนีเซียมยังช่วยบรรเทาอาการปวดก่อนมีประจำเดือน (PMS) ได้อีกด้วย
        14 รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม เช่น กล้วย, ถั่วขาว (เช่น ถั่วเหลือง ถั่วลิมา), ผักใบเขียว (เช่น ผักโขม ผักคะน้า), ผลไม้แห้งบางอย่าง (เช่น แอพริคอต ลูกพรุน ลูกเกด), ปลาบางชนิด (เช่น แซลมอน ทูน่า) เป็นต้น เพราะโพแทสเซียมอาจช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ เนื่องจากอาการดังกล่าวอาจมีสาเหตุมาจากการขาดโพแทสเซียม
        15 ทานกากน้ำตาลหนึ่งช้อนชา กากน้ำตาลเป็นน้ำเชื่อมที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารที่ได้มาจากการตกผลึกน้ำตาล ซึ่งน้ำเชื่อมข้นเกรดนี้จะมีปริมาณแคลเซียม ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม แมกนีเซียม แมงกานีส วิตามินบี 6 และซีลีเนียม ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จะช่วยลดอาการปวด โดยการลดขนาดลิ่มเลือด คลายกล้ามเนื้อ และฟื้นฟูระดับสารอาหารของระบบในร่างกาย
        16 ดื่มชาคาโมไมล์ สามารถช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ เนื่องจากคาโมไมล์มีไกลซีนซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่สามารถบรรเทาอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งได้ ด้วยความสามารถในการทำให้มดลูกคลายตัว จึงช่วยบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากประจำเดือนได้
        17 ดื่มชาร้อน ๆ ผสมน้ำผึ้งเล็กน้อย และนวดบริเวณที่ปวด เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยบรรเทาอาการปวดได้
        18 เครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับคนเล่นกีฬา (เช่น เกเตอเรด) เครื่องดื่มเกลือแร่จะมีอิเลคโตรไลท์ซึ่งช่วยบรรเทาอาการปวดทั่วไปได้ แม้จะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าเครื่องดื่มประเภทนี้จะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ แต่ก็ไม่มีผลเสียอะไรถ้าจะลองดื่มดู
        19 หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด มันจัด และอาหารขยะ (Junk Food) เพราะจะทำให้ร่างกายผลิตสารพลอสตาแกลนดินออกมามากเกินไป จึงทำให้มดลูกมีการบีบเกร็งตัวและเกิดอาการปวดที่บริเวณท้องน้อย
        20 หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ โคล่า น้ำอัดลม หรือช็อกโกแลต โดยเฉพาะในช่วงก่อนและระหว่างที่ประจำเดือนมา เพราะปริมาณกาเฟอีนที่มากไปสามารถทำให้อาการปวดประจำเดือนแย่ลงได้
        21 อาหารเสริมช่วยได้ ก่อนหาซื้อมารับประทานควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพราะอาหารเสริมบางชนิดอาจทำปฏิกิริยาต่อกันหรือทำปฏิกิริยากับยาที่ใช้อยู่เดิมและส่งผลเสียต่อร่างกายได้
                แคลเซียมซิเทรต ในขนาดวันละ 500-1,000 มิลลิกรัม จะช่วยรักษาความตึงตัวของกล้ามเนื้อได้
                วิตามินอี ในขนาดวันละ 500 ไอยู อาจช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้
                แมกนีเซียม ในขนาดวันละ 360 มิลลิกรัม โดยให้รับประทาน 3 วัน ก่อนที่ประจำเดือนมา ซึ่งแมกนีเซียมจะช่วยลดสารพรอสตาแกลนดินที่ถูกหลั่งออกมาในช่วงมีประจำเดือนได้
                กรดโอเมก้า 3 การรับประทานทุกวันเป็นอาหารเสริมอาจช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ เพราะมีงานวิจัยที่ระบุว่า ผู้หญิงที่ทานน้ำมันปลาทุกวันจะมีอาการปวดประจำเดือนน้อยกว่ากลุ่มที่ทานยาหลอก
        22 หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงก่อนประจำเดือนจะมา การปวดประจำเดือนอาจป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก่อนที่ประจำเดือนจะมา เช่น ความเครียด การนิ่งเฉื่อยไร้กิจกรรม แอลกอฮอล์ กาเฟอีน บุหรี่ หรือสารกระตุ้นต่าง ๆ
        23 ไม่ใส่เสื้อผ้าที่รัดช่วงเอวแน่น เช่น กางเกงยืดรัดรูป ยีนส์ขาเดฟ ยีนส์เอวสูง แต่ให้เปลี่ยนมาใส่แค่กางเกงขาสั้นขนาดพอดีตัวที่หลวมสักหน่อยหรือกางเกงวอร์มก็พอ
        24 รักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนถูกสร้างมาจากเซลล์ที่ทำหน้าที่เก็บสะสมไขมัน ถ้าร่างกายมีการสะสมไขมันมากเกินไป ฮอร์โมนเอสโตรเจนก็จะถูกสร้างเพิ่มขึ้นไปด้วยจนเกิดความไม่สมดุลและส่งผลให้มีอาการปวดตามมา
        25 การใช้น้ำมันหอมระเหย เพราะกลิ่นหอม ๆ สามารถช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขได้ชั่วระยะหนึ่ง จึงช่วยบรรเทาอาการหรือลืมความเจ็บปวดลงไปได้บ้าง
        26 สมุนไพรแก้ปวดประจําเดือน ผลการศึกษาหลายแห่งระบุว่า มีสมุนไพรหลายชนิดที่มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้ เช่น ตังกุย, ดอกคาโมไมล์, อีฟนิ่งพริมโรส, เซนต์จอห์นเวิร์ต (St John's Wort), แบล็กโคโฮส ( Black Cohosh) ฯลฯ แต่การใช้สมุนไพรเหล่านี้ควรศึกษาถึงผลข้างเคียงของแต่ละชนิดให้ดีก่อนซื้อหามารับประทาน

        ถ้าปวดไม่มากให้รับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) หรือแอสไพริน (Aspirin) ครั้งละ 1-2 เม็ด เวลาปวดให้ซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกของการมีประจำเดือน
        ถ้าปวดมาก แนะนำให้นอนพัก ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบหน้าท้อง และรับประทานยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ครั้งละ 200-400 มิลลิกรัม และซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง (สูงสุดไม่เกินวันละ 1,200 มิลลิกรัม), ไดโคลฟีแนค (Diclofenac) ครั้งละ 50 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง, นาโพรเซน (Naproxen) ครั้งแรก 500 มิลลิกรัม ต่อไปครั้งละ 250 มิลลิกรัม ทุก 6-8 ชั่วโมง (สูงสุดไม่เกินวันละ 1,250 มิลลิกรัม), กรดเมเฟนามิค (Mefenamic acid) ที่มีชื่อทางการค้า เช่น พอนสแตน (Ponstan) ให้รับประทานครั้งแรก 500 มิลลิกรัม ต่อไปครั้งละ 250 มิลลิกรัม และซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง (ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกิน 7 วัน) เป็นต้น โดยควรรับประทานยาก่อนมีประจำเดือน 48 ชั่วโมง และรับประทานทุกวันจนกว่าเลือดประจำเดือนหยุดไหล หรืออาจให้ยาในกลุ่มแอนติสปาสโมดิก (Antispasmodics) เช่น อะโทรปีน (Atropine), ไฮออสซีน (Hyoscine) รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด เพื่อบรรเทาอาการปวด และซ้ำได้ทุก 6-8 ชั่วโมง

        เป็นอย่างไรบ้างครับ บทความที่นำมาให้อ่านกัน สิ่งสำคัญคือห้ามเครียดครับ ยิ่งเครียดเท่าไหร่ยิ่งทำให้ปวดประจำเดือนมาขึ้น อย่าลืมนำไปลองปฏิบัติกันดูครับ หากลองแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นให้รีบพบแพทย์ดีที่สุดครับ



ขอบคุณที่รับชมบล็อคบทความดีดีนะครับ
คำแนะนำหลังการอ่านจบบล็อค : เมื่อคุณอ่านจบบทความเป็นเวลานานๆ ลองมองไปที่บริเวณที่มีสีเขียว หรือบริเวณต้นไม้ต่างๆ จะช่วยลดอาการเมื่อยล้าดวงตาของคุณได้นะครับ 
ถ้าบทความที่นำมามีประโยชน์ก็ฝากกดไลค์ กดแชร์ เพจด้วยนะครับ จุ๊บๆ คุณผู้อ่านทุกท่านครับ
Page Facebook : Like Page
ขอบคุณบทความดีดีเหล่านี้จาก : Medthai