บทความสุขภาพ : หยุดนิ่ง...เพื่อเพิ่มสติ
สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่านครับ วันนี้ผมจะมานำเสนอบทความ หยุดนิ่ง...เพื่อเพิ่มสติ ทุกวันนี้คนเรามีแต่เรื่องเครียดๆ เราลองมาอ่านบทความนี้บ้างดีกว่าครับ อาจเป็นแนวทางให้ ไม่เครียดมากเท่าไหร่ ไม่ให้เป็นการเสียเวลาลองอ่านกันดูดีกว่าครับ ชีวิตของคนเราทุกคนต่างก็ปรารถนาและแสวงหาความสุขด้วยกันทั้งสิ้น
แต่เชื่อหรือไม่ว่าความสุขที่ว่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ต้องไปเสียเงินทองซื้อหาหรือต้องออกเดินแต่อย่างใด
แต่ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนตัวเอง
โดยเฉพาะทัศนคติหรือมุมมองการดำเนินชีวิตของบุคคลผู้นั้น
พญ.วิมลรัตน์ วันเพ็ญ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ อธิบายว่า องค์ประกอบของความสุขนั้นไม่ยาก
หากรู้หลักการที่เรียกว่า "3 ใจ" อันประกอบไปด้วย
1.
พอใจ คือ
การรู้จักพอการมีความสมดุลทั้งในเรื่องสุขภาพ การเรียน การงาน และที่สำคัญคือความสัมพันธ์กับคนรอบตัว
2.
สบายใจ คือ การจัดการอารมณ์ทางลบ เช่น ความโกรธ กลัว
และความวิตกกังวล เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับชีวิตอะไรเลย
3. ความภูมิใจ คือ
ความสุขที่มาจากความภาคภูมิใจในตัวเอง มองตัวเองมีคุณค่าและไม่พยายามนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
ซึ่งการสร้างความภาคภูมิใจในตัวเองที่ว่านี้
เราอาจจะเริ่มจากการมองหาข้อดีของตัวเอง หรืออาจเริ่มจากการมีความรู้สึกดี ๆ
จากการได้ช่วยเหลือผู้อื่นก็ได้"หยุดนิ่ง...เพื่อเพิ่มสติ"
พญ.วิมลรัตน์ บอกต่อว่า คนเราเมื่อมีอารมณ์โกรธ ปฏิกิริยาทางร่างกายจะไปกระตุ้นให้หัวใจเต้นแรงและเร็ว
เมื่อเป็นเช่นนั้น เราควร "หยุดนิ่งสักพัก"
เพื่อรอให้อารมณ์หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นลดความรุนแรงลง
ซึ่งการหยุดนิ่งเพื่อเพิ่มสตินี้ทำได้โดยหยุดนิ่งชั่วขณะเพื่อให้หัวใจมีจังหวะเต้นช้าลง
ผ่อนอารมณ์ให้คลายลง แล้วสูดลมหายใจยาว ๆ สักสองสามครั้ง
เพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายและไหลเวียนได้ดีขึ้น
เสมือนเป็นการเติมพลังให้กับสมองส่วนที่ใช้ความคิดอย่างมีเหตุผลและไตร่ตรอง
"เกิดอะไรขึ้นเวลาที่เราโกรธ"
พญ.วิมลรัตน์ บอกต่อว่า
เมื่อมีใครสักคนทำให้เราเจ็บปวดทั้งทางกายหรือทางจิตใจ เราจะเกิดความรู้สึก
"ความไม่พอใจ"
ถ้าเรารู้ไม่เท่าทันหรือไม่รีบจัดการกับความรู้สึกเหล่านี้
ต่อไปจะกลายเป็นความโกรธ ซึ่งจะนำไปสู่ความเกลียด ความเคียดแค้น ชิงชัง
ทำลายหรืออาฆาตพยาบาท ดังนั้น เราปรับมุมมองลดความโกรธจากความคาดหวังได้โดย
1. ทบทวนว่ายอมรับได้หรือไม่
หากเป็นไปได้ควรยืดหยุ่นหรือยอมรับได้
2. ให้ความสำคัญกับการคิดหาทางออกแก้ปัญหา
มากกว่าความโกรธที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง
3. หาสิ่งที่น่าสนใจดีกว่าหมกมุ่นเรื่องผิดหวัง
4. ตั้งความหวังใหม่
ลดความหวังเดิมและ 5. ทำใจเผื่อสำหรับความผิดหวัง
"ฟังอย่างไรให้เข้าถึงจิตใจผู้อื่น"
พญ.วิมลรัตน์ บอกอีกว่า
การรับฟังยังช่วยเพิ่มความสัมพันธ์และช่วยเพิ่มมิตรอีกด้วย
"การฟังให้เข้าถึงจิตใจอย่างลึกซึ้ง" เป็นทักษะการฟังที่ดี ฟังให้เป็น
และฟังให้เข้าใจโดยต้องฟังทั้งเนื้อหา อารมณ์ และความรู้สึก ซึ่งประกอบด้วย
"ฟังด้วยท่าทีใส่ใจ"
กระตือรือร้น สบตา ตอบสนองและรับคำ เพื่อแสดงถึงการรับรู้และการรับฟัง
"ฟังอย่างเข้าใจ"
สังเกตภาษาท่าทางและน้ำเสียงเพื่อจับอารมณ์และความรู้สึก ไม่ตัดสินผู้พูด
ตลอดจนไม่ด่วนสรุป
"ฟังอย่างให้เกียรติผู้พูด"
ไม่ขัดจังหวะ ไม่พูดแทรก ไม่ใจลอย และไม่มองเป็นเรื่องขำขันหรือไร้สาระ
"ฟังอย่างตั้งใจ"
จับประเด็นเพื่อกระจ่างชัดถึงเป้าหมายและความต้องการมีการทวนความหรือสรุปความเพื่อให้เข้าใจตรงกัน
ตลอดจนตั้งคำถามเพื่อเพิ่มความชัดเจน
"ฟังลึกซึ้งให้ถึงแก่น"
ฟังใจผู้พูดสะท้อนความรู้สึกเพื่อจับอารมณ์ที่ล้ำลึก รับรู้ถึงความเชื่อและทัศนคติ
หลักปฏิบัติมีไม่มาก เพียงเท่านี้ก็ทำให้คุณผู้อ่านทุกท่านมีสุขภาพ และจิตใจที่แจ่มใสแล้วละครับ ผมก็หวังว่าบทความที่นำมาให้อ่านน่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ
ขอบคุณที่เข้ามาชมเพจครับ
คำแนะนำหลังการอ่านจบบล็อค : เมื่อท่านอ่านจบบทความให้ท่านมองไปที่บริเวณที่มีสีเขียว จะลดความเมื่อยล้าดวงตาของท่านได้ (ถ้าอ่านแล้วถูกใจช่วยแชร์กันด้วยนะคร๊าบบ)
Facebook : Like Page
บทความสุขภาพ : สสส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น